top of page
Image by Yu Kato

เนื้อเรื่องหลัก

Story: An Empire At War

นับตั้งแต่ที่อภิเษกสมรสกับพระมเหสีซึ่งเป็นพระขนิษฐาสายตรงของไฮคิงแห่งบารามอส… บารามอสก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในเวนอล ทั้งในด้านของความเชื่อและวัฒนธรรมหลายอย่างที่เข้ามากลืนกินจักรวรรดิ กฎหมายหลายอย่างก็เอื้อให้กับการค้าขายกับบารามอส กระทั่งในการโหวตไฮคิง จักรพรรดิก็ทรงออกเสียงให้คิงอัลฟองโซ่ บารันเทีย

 

ฝ่ายขุนนางหัวโบราณไม่พอใจกับการที่ต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่มากเกินไป และต่อต้านพระมเหสี ขณะที่ฝ่ายขุนนางหัวสมัยใหม่มองว่าบารามอสช่วยเสริมความยิ่งใหญ่ให้จักรวรรดิและเป็นมหามิตร แม้จะมีการเอื้อให้ต่างชาติเข้ามามากขึ้นแต่เวนอลเองก็ได้ประโยชน์ รับวัฒนธรรมใหม่เข้ามา และพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

 

ในขณะเดียวกันเวลาผ่านไป อาการวิกลจริตขององค์จักรพรรดิก็เริ่มเด่นชัด การกระทำโหดร้ายเช่นการสั่งขังและลงโทษขุนนางฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายแรงทำให้เกิดเสียงซุบซิบในหมู่ขุนนาง มีการขึ้นภาษีขูดรีดประชาชนเพื่อนำงบประมาณมาเสริมด้านการทหาร กฎหมายถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวดและห้ามมีการวิจารณ์จักรพรรดิ จนทำให้เกิดการกบฎขึ้นอย่างลับๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ระหว่างสงครามกบฎลูนาร์-ยูโรป้าทำให้ชื่อเสียงของพระองค์ในฐานะจักรพรรดิทรราชย่ำแย่กว่าเดิม 

 

จักรพรรดิคิดจะสังหารรัชทายาทและแต่งตั้งบุตรสาวคนโปรดขึ้นเป็นรัชทายาทแทน นั่นบีบให้รัชทายาทไปเข้าร่วมกับฝ่ายกบฎต่อต้านจักรพรรดิ ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆของตนเอง 

 

รัชทายาทแสดงตนชัดเจนว่าไม่เข้าร่วมกับฝ่ายพระมเหสีด้วยการเลือกถอนหมั้นกับเจ้าหญิงซิทริเนียร์แห่งวิทช์ คู่หมั้นหมายซึ่งพระมเหสีเป็นผู้เลือกให้ด้วยตนเอง หลังจากมีข่าวการกลับมาของเจ้าหญิงเอนเดเวีย ออซวอลด์แห่งคาโนวาล พระคู่หมั้นเก่าที่เดิมทีทุกคนเชื่อว่าได้ตายไปแล้ว การกระทำนี้ขององค์รัชทายาทเป็นการแสดงออกชัดเจน ว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับขุนนางหัวสมัยใหม่

 

ในยามนี้เวนอลจึงแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ฝั่งขุนนางหัวสมัยใหม่ซึ่งสนับสนุนบารามอส ฝั่งขุนนางหัวโบราณสนับสนุนจักรพรรดิ และฝั่งกบฎที่ต่อต้านจักรพรรดิ และไม่ต้องการให้บารามอสกลืนชาติเวนอล ในอีกด้าน ฝั่งวิหารเทวีจันทราที่เคยมีอำนาจมากในอดีตแต่ถูกราชวงศ์เวนิเซียลดทอนอำนาจก็เริ่มหาลู่ทางกลับมาเป็นศาสนาหลักในจักรวรรดิแทนศาสนากลางอีกครั้ง

 

หลังการพ่ายแพ้ของกบฎยูโรป้า ลอร์ดไกเนอร์แห่งเรอาขึ้นมาเป็นหนึ่งในแกนนำกบฎแทนอย่างลับๆ ร่วมมือกับตระกูลเคอร์ติสผู้ถูกเนรเทศ รัชทายาทและวิหารเทวีจันทราในการล้มล้างกษัตริย์องค์ปัจจุบัน สถานการณ์ของเวนอลยามนี้ไม่สู้ดี สงครามสามารถปะทุได้ทุกเมื่อ

ราชวงศ์

ราชวงศ์ปัจจุบัน

 

“อำนาจที่แท้จริงหาใช่อยู่ในมือจักรพรรดิ ปราศจากขุนนาง จักรวรรดิมิอาจยั่งยืน ปราศจากประชาชน ก็มิอาจดำรงไว้ซึ่งความเป็นจักรวรรดิ แต่ปราศจากจักรพรรดิ ก็ย่อมมีจักรพรรดิองค์ใหม่มาแทนที่”

Lunaretta Venicia, The Empress of Venol-

 

รุ่นก่อน

ในยุคก่อนของจักรพรรดินีลูนาเรตต้าขึ้นชื่อว่าเป็นยุคที่เวนอลค่อยๆฟื้นฟูจากปัญหาภายในและเจริญรุ่งเรืองกว่าที่เคยเป็น อันเกิดจากการอภิเษกสมรสของจักรพรรดินีลูนาเรตต้าและเจ้าเมืองทางเหนือที่กระด้างกระเดื่องต่อราชวงศ์

หลังจากขึ้นครองราชย์พระนางก็เริ่มจัดการกับปัญหาทุจริตภายในวังโดยแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน เพิ่มชนชั้นประชาชนเข้ามาร่วมเป็นผู้ตรวจสอบเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตงบประมาณและปัญหาระหว่างชนชั้น อีกทั้งพยายามสนับสนุนให้คัดเลือกชนชั้นประชาชนธรรมดาเข้ามารับราชการมากขึ้น เพราะจุดนี้เองทำให้ขุนนางบางส่วนไม่พอใจอยู่เงียบๆ 

ทว่าต่อมาพระนางเกิดประชวรเนื่องจากตรากตรำงานหนักจนสุขภาพทรุดโทรม และไม่อาจตรวจตราเรื่องงบประมาณและรายงานได้ละเอียดเท่าที่ควรดังเช่นที่ผ่านมา ทำให้ในระยะหลังเริ่มมีปัญหาเรื่องการทุจริตคดโกงบ้างแต่ไม่มากและไม่เด่นชัด จนสุดท้ายก็สวรรคตด้วยอาการประชวร 

ต่อมาเจ้าชายรัชทายาทโซล เวนิเซียขึ้นครองราชย์ ปัญหาที่สะสมไว้ใต้ผิวน้ำจึงค่อยๆปรากฎขึ้นทีละอย่าง…

 

จักรพรรดิ โซล เวนิเซีย (Sol Venicia) 

 

“หน้าที่ของจักรพรรดิคือทำให้ประชาชนมีความสุข เช่นนั้นผู้ใดไม่มีความสุขก็จงประหารมันเสีย”

Sol Venicia, The Emperor of Venol - 

 

เวนอลในยุคปัจจุบันถูกปกครองด้วยจักรพรรดิโซล เวนิเซีย เดิมทีองค์จักรพรรดิทรงมีฐานอำนาจที่มั่นคงเพราะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพระองค์โตของบารามอส ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากทางบารามอส สมัยยังเป็นเจ้าชายรัชทายาท โซลยังปกติดี รักบ้านเมือง ต้องการพัฒนาเวนอลไปในทางที่ดีขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป...

 โซลไม่เหมือนพระมารดา ว่ากันว่าเขามีอาการวิปริตและมีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ที่เริ่มจะหนักข้อขึ้นทุกปีหลังจากอายุได้ 30 ปี อาจด้วยเกิดจากการสมรสของบิดาและมารดาที่มีสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป แรกเริ่มแสดงออกด้วยความฟุ้งเฟ้อ ต่อเติมสร้างวังใหม่ ทุบทิ้งและสร้างใหม่ทุกปี ยิ่งอายุมากขึ้นอาการของเขาก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อไม่เพียงพอสนองความต้องการอีกต่อไป องค์จักรพรรดิทรงทรมานนักโทษจนเกินความจำเป็น ปรับปรุงคุกหลวงให้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทรมาน และทรงสำราญกับการดูคนถูกสำเร็จโทษ

เคยมีขุนนางดีที่ทัดทาน สุดท้ายคนผู้นั้นถูกยัดข้อหาและจับขังคุกหลวง สภาพเป็นตายร้ายดีอย่างไรตอนนี้ไม่ทราบ

เมื่อหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเกิดเหตุทัพกบฎเดินทัพจากยูโรป้าเพื่อบุกลูนาร์ จักรพรรดิทรงมีพระราชดำริว่า ‘เกณฑ์ชาวบ้านมา ให้อาวุธพวกมัน ผู้ภักดีต่อชาติย่อมปกป้องแผ่นดินจนตัวตาย สละชีพได้เพื่อราชัน หากใครไม่ทำเช่นนั้นมันก็คือพวกกบฎ เช่นนั้นก็จับมันไปประหารพร้อมกับพวกคนขายชาติ’ เช่นนั้นแล้วชาวบ้านที่หมู่บ้านหน้าด่านจึงถูกบังคับให้จับอาวุธสู้รบกับกบฎเป็นแนวหน้า โดยมีทหารของจักรพรรดิคอยคุมดักทางอยู่ ในตอนนั้นเองมีขุนนางดีผู้หนึ่งที่ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา ทนไม่ได้กับคำสั่งนี้ขององค์จักรพรรดิ จึงได้ขัดคำสั่งไปลักลอบจ้างกองทหารรับจ้างภายนอกมาช่วยปกป้องชาวบ้าน จึงพอช่วยเหลือชาวบ้านไว้ได้บางส่วน สุดท้ายทัพกบฎถูกทหารของจักรพรรดิปราบปราม และหมู่บ้านหน้าด่านก็ถูกเผาจนสิ้นซาก ผู้ที่ขัดคำสั่งก็ถูกยัดข้อหา ติดคุกหลวง เหตุการณ์นี้ทำให้เขตทางเหนือและใต้เริ่มกระด้างกระเดื่องกับจักรพรรดิเช่นกัน

ฉากหน้าจักรพรรดิยังคงสร้างภาพประหนึ่งตนเองออกทำงานเพื่อราษฎร แต่ฉากหลังเหล่าขุนนางต่างซุบซิบนินทาเรียกเขาว่า ‘ทรราชแห่งเวนอล’

 

ผังครอบครัว: http://www.familyecho.com/?p=START&c=73ki9bj5cc&f=111548570969851203 

family.jpg
bottom of page