top of page
Full Moon

Full Story

เรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่การอภิเษกสมรสระหว่างจักรพรรดิโซล เวนิเซียแห่งเวนอล กับเจ้าหญิงเซเรน่า บารันเทียแห่งบารามอส..

 

เป็นที่ทราบกันดีในเวนอลว่าจักรพรรดินีลูนาเรตต้าทรงสิ้นพระชนม์กระทันหันจากอาการประชวร และการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิโซลก็ไม่ได้ราบรื่นดังที่สมควรจะเป็น 

 

เจ้าชายโซล เวนิเซียไม่ใช่รัชทายาทตั้งแต่กำเนิด ผู้ที่เป็นรัชทายาทแห่งเวนอลจะต้องมีนามแห่งจันทรา ทว่าโซลกลับมีนามแห่งตะวัน นั่นเพราะ ‘ลูน’ พี่ชายร่วมอุทรของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์ โซลจึงถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทเมื่ออายุได้ 11 ปี ถูกส่งออกเร่ร่อนโดยไม่มีความพร้อมในการเป็นรัชทายาทเสียด้วยซ้ำ 

 

บัลลังก์ของเขาไม่มั่นคง และมีข้อครหา อีกทั้งยังมีน้องสาวและน้องชายที่มีสิทธิในราชบัลลังก์เช่นกัน ดังนั้นโซลจึงหันไปหา ‘บารามอส’ อีกมหาอำนาจประเทศเกรดหนึ่งแห่งเอเดนเพื่อเสียงสนับสนุน… นั่นเปรียบดั่งดาบสองคม

 

เจ้าหญิงเซเรน่า บารันเทียซึ่งเป็นเจ้าหญิงพระองค์โตแห่งบารามอสก่อนแต่งงานกับจักรพรรดิมีคนรักอยู่แล้ว เป็นขุนนางจากคาโนวาล ทว่าหลังประกาศหมั้นหมายกับองค์จักรพรรดิพระนางก็ตัดสายสัมพันธ์ทันที

 

เวนอลไม่เคยรับคนนอกเข้ามาเป็นพระมเหสีด้วยความหยิ่งในเชื้อชาติ นี่เป็นครั้งแรกที่จักรวรรดิเปิดรับมเหสีต่างชาติ การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่เอื้อประโยชน์ให้บัลลังก์ของจักรพรรดิมั่นคงขึ้น แต่ยังเป็นการเอื้อประโยชน์ละเสริมอิทธิพลของบารามอสในเอเดน และเซเรน่า บารันเทีย ก็ตั้งใจจะกอบโกยผลประโยชน์ให้บารามอสให้มากที่สุด จนนำไปสู่วลี ‘กลืนชาติ’ ที่ชอบพูดกันในกลุ่มขุนนางหัวโบราณที่ต่อต้านอิทธิพลจากบารามอส

 

เซเรน่าเป็นผู้หญิงที่ทะเยอทะยาน ตั้งแต่สมัยเรียนพระนางเคยตรัสกับผู้เป็นพี่ชายไว้ว่า ‘เราจักทำให้บารามอสยิ่งใหญ่กว่าประเทศใดในเอเดน’ และความทะเยอทะยานของพระนางไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น แต่คิดเสมอว่าตนเหมาะสมกับบัลลังก์กษัตริย์… และความคาดหวังอีกทั้งความทะเยอทะยานทั้งปวงก็ถูกส่งต่อให้แก่บุตรชายของนาง อมาริส เวนิเซีย

 

เจ้าชายรัชทายาทถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดโดยพระมเหสีด้วยหวังให้ ‘บุตรชายของนาง’ เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ บุตรชายที่เหมือนนาง และสามารถเติมเต็มความปรารถนาที่ตัวนางไม่อาจเอื้อมถึง พระนางจึงตระเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับการเร่ร่อนและการปกครองในทุกด้าน

 

เดิมทีจักรพรรดิโซลคิดยกเลิกธรรมเนียมเร่ร่อนของเจ้าชายรัชทายาทเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ทว่าพระมเหสีทรงไม่เห็นด้วย เกิดการคัดค้านและถกเถียงกันใหญ่โต สุดท้ายจบลงที่ประเพณีเร่ร่อนยังถูกคงไว้

 

ขณะเดียวกันคนรักเก่าชาวคาโนวาลของพระมเหสีก็ถูกแต่งตั้งเป็นทูตเวนอล และในปีนั้นเองก็มาตายอย่างเป็นปริศนาในเวนอล ทำให้เสี่ยงเกิดปัญหาระหว่างประเทศ ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงเอ่ยปากเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเจ้าชายรัชทายาทกับเจ้าหญิงเอนเดเวีย ออซวอลด์แห่งคาโนวาล ทว่าต่อมาเจ้าหญิงหายตัวไปอย่างลึกลับ การหมั้นหมายจึงเป็นโมฆะ 

 

หลังจากนั้นพระมเหสีเล็งเห็นว่าการปล่อยให้คาโนวาลเข้ามามีอิทธิพลในเวนอลจะส่งผลเสียต่อฐานอำนาจของพระนาง จึงไปรับปากให้เจ้าชายรัชทายาทหมั้นหมายกับเจ้าหญิงซิทริเนียร์ เอโมนิกซ์แห่งวิทช์ บุตรสาวของกษัตริย์ซีร์รัสซาร์ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพระนางแทน

 

เมื่อเจ้าชายอมาริสอายุได้เกือบ 7 ปี แพทย์หลวงตรวจพบอาการวิกลจริต ซึ่งคล้ายจะสืบทอดกันในราชวงศ์เวนิเซีย ที่ว่าในหนึ่งรุ่นจะมีสักคน-สองคนที่มีอาการแปลกประหลาดทางจิตใจบางประการ สำหรับเจ้าชายอมาริสนับว่าตรวจพบได้เร็ว เช่นนั้นองค์จักรพรรดิจึงมีพระประสงค์จะปลดรัชทายาทและแต่งตั้งเจ้าหญิงอิคาเรีย เวนิเซีย (ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักในหมู่ประชาชน) ขึ้นเป็นรัชทายาทแทน

 

…เป็นอีกครั้งที่พระมเหสีคัดค้าน และเนื่องด้วยบารามอสทรงอำนาจในเวนอลมากจนเกินไป ทำให้จักรพรรดิไม่อาจปลดรัชทายาทได้ตามใจชอบ เรื่องที่เจ้าชายอมาริสมีอาการป่วยก็ถูกเก็บเงียบเป็นความลับของราชวงศ์

 

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิและพระมเหสีเกิดรอยร้าว โซลเริ่มจะเข้าใจถึงผลเสียใหญ่หลวงของการนำ ‘คนนอก’ เข้ามาในเวนอล อีกขั้วอำนาจที่ไม่อาจรื้อถอนได้โดยง่าย นั่นทำให้เขาอยู่ฝั่งเดียวกับขุนนางหัวโบราณที่ต่อต้านอิทธิพลจากบารามอส

 

เวลาผ่านไป องค์รัชทายาทเริ่มเติบใหญ่ ทว่าอาการวิกลจริตที่ว่ายังไม่หายไป ในบางวันเขาจะยิ้มแย้มอ่อนโยนและเป็นมิตร เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วว่องไว สนใจตำราไม่สนศาสตรา แต่ในบางวันเขาก็จะปลีกตัวเงียบขรึม หลีกเลี่ยงผู้คน ไม่ใส่ใจผู้ใด ถืออาวุธฟาดฟันคล่องแคล่ว ไม่เด่นชัดจนคนนอกดูออก ทว่ามากพอให้จักรพรรดิทรงเป็นกังวล

 

ในวันที่กบฎยูโรป้าบุกลูนาร์ จักรพรรดิทรงทราบว่ารัชทายาทอยู่ที่นั่น และเพื่อให้เวนอลไม่มีจักรพรรดิวิกลจริตอีกในรุ่นหน้า จึงตัดสินใจออกคำสั่งให้ประชาชนจับดาบต่อสู้กับกบฎ ด้วยหวังให้รัชทายาทสิ้นลมหายใจ

 

จักรพรรดิโซลในเวลานั้นก็เริ่มมีอาการวิกลจริตเช่นกัน การตัดสินใจหลายๆ อย่างอาจเรียกได้ว่า ‘สุดโต่ง’ มากเกินไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนต้องการ

 

น่าเสียดายที่รัชทายาทรอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ และหลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนพระราชาแล้ว ความพยายามในการสังหารเจ้าชายก็ลำบากขึ้นทุกที

 

ขณะเดียวกันเพราะการกระทำที่ ‘สุดโต่ง’ ของจักรพรรดิ ทำให้เกิดกลุ่มขั้วอำนาจใหม่ ซึ่งก็คือกลุ่มกบฎที่ประกอบไปด้วยกลุ่มกบฎยูโรป้าเดิม กลุ่มกบฎเรอา นำโดยลอร์ดไกเนอร์ เซริโอร่า กลุ่มประชาชนที่โกรธแค้น และกลุ่มวิหารเทวีจันทรา เป้าหมายร่วมกันคือล้มล้างจักรพรรดิโซล

 

สายของกลุ่มกบฎสืบทราบว่าจักรพรรดิมีความตั้งใจจะปลดเจ้าชายรัชทายาทและแต่งตั้งเจ้าหญิงอิคาเรีย เวนิเซียขึ้นเป็นรัชทายาทแทน จึงนำไปสู่เหตุการณ์ลอบสังหารเจ้าหญิงโดยการว่าจ้างนักฆ่าจากซาเรสไปวางยาพิษ ซึ่งสุดท้ายกระทำการไม่สำเร็จ แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้เจ้าชายรัชทายาทสืบทราบไปถึงตัวผู้บงการเบื้องหลัง เรื่องของกลุ่มกบฎ และความตั้งใจของบิดาในการสังหารตน

 

นั่นทำให้เจ้าชายอมาริสตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มกบฎ หนึ่งคือเพื่อปกป้องน้องสาว อีกหนึ่งคือเพื่อปกป้องตนเองจากบิดาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอิทธิพลจากบารามอสไปมากกว่านี้

 

ในปีถัดมาอมาริสคืนยศสู่เจ้าชาย เนื่องจากครบสิบปีและจบการเร่ร่อนตามธรรมเนียม เขากลับเข้าสู่วังหลวงที่ซึ่งเต็มไปด้วยการเมืองและการแย่งชิงอำนาจ

 

ข้อครหาเกี่ยวกับตัวรัชทายาทหลักๆ แล้วคือเรื่องที่มารดาเป็นต่างชาติ และเขาอาศัยอำนาจของทางบารามอสมากเกินไป จนมีเสียงซุบซิบกันในหมู่ขุนนางว่า ‘เป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งเวนอลที่เป็นชาวบารามอส’ ที่หนักที่สุดคือข้อครหาที่ว่าเขา ‘เป็นลูกชู้ของขุนนางคาโนวาลกับพระมเหสี ไม่ใช่ชาวเวนอล’

 

จักรพรรดิมีท่าทีนิ่งเฉยต่อข้อครหาเหล่านั้น คล้ายว่าทรงปล่อยให้มันเกิดขึ้นและกระจายตัว นั่นทำให้เจ้าชายรัชทายาทจำต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง และวางตนว่าอยู่คนละฝ่ายกับพระมเหสี ซึ่งการส่งสัญญาณครั้งล่าสุดก็คือการประกาศถอนหมั้นกับเจ้าหญิงซิทริเนียร์ เอโมนิกซ์ ซึ่งเป็นการตกลงรับปากหมั้นหมายจากทางฝั่งเซเรน่า บารันเทีย หลังจากที่คาโนวาลพบตัวเจ้าหญิงเอนเดเวีย ออซวอลด์ผู้หายไปแล้ว

 

เจ้าชายอมาริสได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้นผ่านการทำผลงานในประเทศ ทั้งการลงพื้นที่แก้ปัญหาเรื่องเสบียง สนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชน และออกงานทางการทูต โดยเขาวางภาพลักษณ์เป็นคนที่อ่อนโยนและใส่ใจประชาชน ทว่ากับกลุ่มขุนนางเขายังไม่ได้รับเสียงสนับสนุนมากนัก

 

ต้นปี A.D. 1127 องค์รัชทายาทถูกลอบสังหารอีกครั้ง เรื่องใหญ่โตนำไปสู่การกวาดล้างหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งลูนาร์ซึ่งเป็นตระกูลที่สนับสนุนฝ่ายจักรพรรดิมาโดยตลอด สถานการณ์ในท้องพระโรงเวนอลตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ถึงจุดปะทุขึ้นทุกที 

 

ฝั่งลอร์ดไกเนอร์ เซริโอร่าแห่งเรอาเริ่มซ่องสุมกองกำลัง ฝ่ายกบฎเริ่มเคลื่อนไหว ส่วนทางพระมเหสียังไมมีท่าทีตอบรับใดใด….


 

…แต่สิ่งที่ทุกคนล้วนรู้ดี คือเรื่องนี้มิอาจจบลงด้วยสันติวิธี

bottom of page