top of page

การปกครอง

สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันมีกษัตริย์เป็นประมุข สืบทอดอำนาจแก่บุตรคนโต โดยที่สตรีสามารถขึ้นเป็นจักรพรรดินี และสามารถมีผู้แทนพระองค์กรณีรัชทายาทยังไม่พร้อมสืบบัลลังก์

Full Moon

การปกครองภาคกลาง (เมืองหลวง)

กษัตริย์เป็นประมุข โดยมีเสนาบดีกรมต่างๆเป็นสภาที่ปรึกษา ช่วยดูแลแบ่งภาระในส่วนการปกครองหลายภาคส่วน สภาที่ปรึกษาประกอบไปด้วย: เสนาบดีกรมวัง, เสนาบดีกรมการคลัง, เสนาบดีกรมการค้าและการคมนาคม, เสนาบดีกรมการศึกษา, เสนาบดีกรมศิลปะ, เสนาบดีกรมอุตสาหกรรม, เสนาบดีกรมเกษตร, เสนาบดีกรมทหาร

เสนาบดีมีงบประมาณสำหรับการดำเนินนโยบายต่างๆและถูกตรวจสอบประจำปีโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่วนการตัดสินใจใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณเยอะจะต้องร่างแผนงานโครงการต่อกษัตริย์เพื่อขออนุมัติ

 

การปกครองแบบแบ่งภาค

ดินแดนเวนอลแบ่งเป็นห้าภาคการปกครอง โดยแต่ละภาคยกเว้นภาคกลางจะมีเจ้าเมืองควบคุมดูแลการเก็บภาษีเข้าวังและรักษากฎระเบียบความปลอดภัย ใช้แนวคิดประชาชนจ่ายภาษีแก่ขุนนาง ขุนนางปกป้องประชาชน

ปกติทางการมีการกำหนดงบประมาณให้แต่ละภาคในแต่ละปีให้เจ้าเมืองได้ใช้สอยพัฒนาภูมิภาค ถ้าต้องการงบเพิ่มเติมต้องยื่นเรื่องขออนุมัติ เจ้าเมืองต้องถูกตรวจสอบโดยผู้ตรวจการแผ่นดินเช่นกัน

 

การรับราชการ

มีการสอบเข้าเพื่อรับราชการ แต่หากต้องการสอบผ่านควรมีเส้นสาย เนื่องจากขุนนางมักดึงบุตรหลานขึ้นไปรับราชการ ทำให้การสอบเข้าไม่ยุติธรรมนัก หากเป็นชนชั้นประชาชนก็ต้องมีความสามารถมากจนเตะตาผู้คัดเลือก

 

ยศขุนนาง

ยศขุนนางมีวิธีได้มาสองแบบ 1. สืบทอดกันด้วยสายเลือด 2. ทำคุณงามความดีให้ประเทศชาติ

ยศสามารถประทานโดยจักรพรรดิและสืบทอดให้บุตรคนโตเท่านั้น ไม่เกี่ยงชายหญิง มักเรียกกันว่า’ลอร์ด’ หรือ ‘เลดี้’ ไม่มีคำเรียงแบ่งพิเศษ ทุกระดับเรียกเหมือนกันหมด แต่การแบ่งยศจริงๆจะเรียกเป็นตัวเลข “ขุนนางขั้นหนึ่งถึงขั้นห้า” 

 

การคัดเลือกจักรพรรดิ

เมื่ออายุได้ครบ10ปีรัชทายาทจะถูกส่งไปเดินทางเร่ร่อนจนกระทั่งเติบใหญ่ จึงสามารถกลับมาพิสูจน์ตน 

ในการพิสูจน์ตนต้องตอบคำถามจากราชครู อันมีสักขีพยานเป็นสภาที่ปรึกษา เจ้าเมือง ตัวแทนประชาชน และจักรพรรดิ วิถีเวนอลเชื่อว่าผู้ปกครองต้องได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง และมีคำกล่าวโบราณว่า‘ราชาที่ไม่มีคนให้ปกครองก็ไม่อาจเป็นราชา’ 

 

ความเท่าเทียมทางเพศ

แนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศถูกบุกเบิกโดยจักรพรรดินีคนแรกของเวนอล ประวัติศาสตร์ระบุว่าพระนางเข้าร่วมสงครามภายในและชิงบัลลังก์มาจากพี่ชายผู้วิปริต จากนั้นก็เริ่มบัญญัติกฎหมายส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ แม้ขุนนางและผู้ที่รับราชการส่วนใหญ่ยังเป็นชายแต่สตรีก็สามารถรับราชการและบริหารประเทศ กระนั้นในปัจจุบันก็ยังมีแนวคิดที่ว่าบุรุษเหนือกว่าสตรีหลงเหลือในสังคมอยู่มาก

fc67febec5674c80033c7fb4e6feb5f6.jpg
bottom of page